หน้าแรก : บทความ
คอลลิน่า (Collina) มาจากภาษาอิตาลี แปลว่า เนินเขา บ้านและธรรมชาติที่เพลินจิต คอลลิน่าจึงมีการปรับระดับพื้นดินเล่นระดับเสริมในบางส่วน แนวถนนส่วนกลางไม่มีส่วนใดเป็นเส้นตรง ออกแบบให้เป็นเส้นโค้งไปมาเช่นเดียวกับเนินเขา ทุกพื้นที่ภายในคอลลิน่า คือ คำตอบของคุณ ธรรมชาติที่แฝงความเรียบง่าย สงบ นิ่ง แต่ร่มรื่นไปด้วยไม้นานาพรรณ การใช้ชีวิตที่แตกต่าง ชีวิตที่ออกแบบให้ลงตัวกับธรรมชาติ 360 ผสานแนวคิดสวนสวยที่เว้นระยะห่างระหว่างหลังบ้านแต่ละหลังไม่ให้ติดกัน ผนวกเสน่ห์เฉลียงและบ่อน้ำ เพิ่มบรรยากาศพักผ่อนสบาย รองรับกิจกรรมหลังบ้านในแบบของคุณ
อ่านเพิ่มเติมความฝันว่าจะมีบ้านหลักแรกของคุณอาจจะสะดุดเอาได้ ถ้าคุณไม่รู้จักขั้นตอนการยื่นเรื่องและเตรียมตัว! แต่คุณก็ไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจไป เพราะในวันนี้เราได้รวบรวม 7 ขั้นตอนพื้นฐาน สำหรับการกู้เงินซื้อบ้านหลังแรกมาฝาก! รับรองเลยว่ามันจะทำให้การกู้เงินซื้อบ้านของคุณผ่านฉลุย ไม่มีปัญหามากวนใจในภายหลังอย่างแน่นอน ซึ่งจะมีขั้นตอนอะไรบ้าง เราไปติดตามพร้อมๆ กันเลย!
1. รู้ความสามารถในการผ่อนชำระ
อันดับแรกก่อนที่จะการกู้เงินซื้อบ้านจะเริ่มต้นขึ้น คุณต้องรู้ก่อนว่า ตัวคุณนั้นมีกำลังผ่อนจ่ายให้กับธนาคารประมาณเดือนละเท่าไหร่? เพื่อที่จะได้ทำการวางแผนและเลือกซื้อบ้านหลังแรกได้ตามกำลังที่ไหว เพราะถ้าคุณฝืนซื้อบ้านที่เกินกำลัง อาจจะทำให้คุณไม่ผ่านการอนุมัติ หรืออาจจะผ่านแต่เกิดปัญหาการเงินติดขัดเมื่อต้องผ่อนชำระบ้านในยามสิ้นเดือน
2. ต้องมีเงินดาวน์บ้านด้วยนะ
หากคุณคิดว่าจะกู้เงินซื้อบ้านหลังแรกแบบเต็มจำนวน ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะตามกฎของธนาคารแล้วจะปล่อยวงเงินให้คุณเพียงแค่ 90% เท่านั้น เช่น บ้านราคา 1 ล้าน ทางธนาคารจะให้คุณกู้มากที่สุด 900,000 บาท ดังนั้นคุณจึงต้องมีเงินก้อนเอาไว้ดาวน์บ้านด้วย ยิ่งมีเงินดาวน์มากเท่าไหร่ % การกู้ผ่านก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
3. การเดินบัญชีในธนาคารคือเรื่องสำคัญ
อย่าปล่อยให้เงินในบัญชีเหลือ 0 บาท อย่างเด็ดขาด! เพราะการกู้เงินซื้อบ้าน ทางธนาคารจะดูบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน ว่าคุณมีรายรับ-รายจ่าย อย่างไร? มีเงินเย็นติดธนาคารบ้างหรือเปล่า? ดังนั้นคุณต้องหมั่นเดินบัญชีอยู่เสมอ เพื่อที่ทางธนาคารจะได้มองเห็นถึงความสามารถทางการเงินของคุณนั่นเอง
4. หมั่นชำระหนี้ให้ตรงเวลา
หากใครมีหนี้สินอื่นๆ ที่ต้องผ่อนอยู่ ให้คุณพยายามจ่ายเงินให้ตรงเวลา เพราะทางธนาคารจะเช็คกับเจ้าหนี้ต้นสังกัดว่าคุณมีการจ่ายชำระหนี้ที่ตรงเวลาไหม ซึ่งนั่นมันจะมีผลต่อการอนุมัติเงินกู้ซื้อบ้านหลังแรกยังไงล่ะ ยิ่งถ้าคุณเคยติดเครดิตบูโรมาก่อน ก็อาจยิ่งทำให้การอนุมัติสินเชื่อกู้บ้านหลังแรกของคุณเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
5. ปิดบัญชีหนี้อื่นๆ ให้หมดก่อนยื่นกู้ถ้าเป็นไปได้
สำหรับใครที่ต้องการกู้เงินซื้อบ้าน จะดีที่สุดถ้าสามารถปิดหนี้ที่มีอยู่ให้หมด เพราะถ้าทางธนาคารเล็งเห็นว่าคุณมีหนี้สินติดตัวเยอะ ก็อาจพิจารณาว่าคุณไม่มีกำลังผ่อนจ่ายค่าบ้านไหว อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้มีกฎที่ตายตัวขนาดนั้น เพราะถ้าหากว่าคุณมีสินเชื่อก้อนอื่นที่กำลังผ่อนอยู่ แต่ได้แสดงให้เห็นว่ามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีมาตลอด ไม่เคยจ่ายล่าช้า เมื่อพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ในภาพรวมของผู้กู้แล้ว ก็เป็นไปได้ที่ธนาคารจะเห็นควรให้ผ่านการอนุมัติสินเชื่อบ้านได้เช่นกัน
6. ยิ่งมีบัตรเครดิตเยอะ อาจยิ่งผ่านการอนุมัติยาก
ถ้าคุณมีบัตรเครดิตเยอะเกินไป ทางธนาคารอาจมองว่า คุณมีโอกาสสูงที่จะสร้างหนี้จากบัตรเครดิตได้ภายในอนาคต และมีความเสี่ยงสูงที่เมื่อมีหนี้บัตรเครดิตแล้ว คุณจะขาดความสามารถในการผ่อนชำระรายเดือน ตรงจุดนี้อาจจะทำให้การกู้เงินซื้อบ้านนั้น ไม่ผ่านเอาได้ แต่ถ้าคุณมีบัตรเครดิตเพียง 1–2 ใบ ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่พอดี ไม่จำเป็นต้องยกเลิกทั้งหมด การใช้บัตรเครดิตทุกเดือน แต่ก็สามารถจ่ายตามยอดเต็มจำนวนทุกเดือนได้ ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงวินัยทางการเงินมากกว่าเป็นมองว่าคุณเป็นภาระ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลยพินิจของธนาคารอีกที
7. เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน
เอกสารที่จำเป็นต่อการกู้เงินซื้อบ้านนั่นก็คือ สลิปเงินเดือน ใบรับรองเงินเดือน เอกสารรายรับต่างๆ ยิ่งถ้าคุณมีเอกสารครบถ้วนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้การกู้เงินซื้อบ้านของคุณรู้ผลเร็วขึ้นมากเท่านั้น
7 ขั้นตอนข้างต้นที่เรากล่าวมานั้น คือ 7 ขั้นตอนสำคัญที่คุณต้องรู้ก่อนการกู้เงินซื้อบ้านหลังแรก! เพราะฉะนั้นแล้ว ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มอย่างไร? เตรียมตัวอะไรบ้าง? ข้อมูลที่เรากล่าวไป คงจะเป็นตัวช่วยให้คุณสามารถเตรียมตัวซื้อบ้านหลังแรกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น!
.
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านจัดสรร อย่าลืมติดต่อเราเพื่อนัดเข้าเยี่ยมชมโครงการ คอลลิน่า (Collina) ซึ่งมาจากภาษาอิตาลี แปลว่า เนินเขา หากว่าคุณเป็นคนที่ชอบธรรมชาติ วิวภูเขา และสีเขียว เรารับรองได้ว่า ‘คอลลิน่า เพลินจิต’ จะต้องถูกใจคุณแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม
เชื่อว่าหลายๆ คนคงมองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก เพราะการลงทุนประเภทนี้มีมูลค่าสูง โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจต้องใช้เงินทุนในการลงทุนเป็นหลักหลายล้านบาทเลยทีเดียว แต่ในความเป็นจริงนั้น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เป็นการซื้อมาขายไปอย่างที่หลายๆ คนเข้าใจเพียงเท่านั้น แต่ยังมีการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ทำให้นักลงทุนรายย่อยในหลายๆ รูปแบบ หรือมือใหม่อย่างเราสามารถมีโอกาสเริ่มต้นลงทุนด้วยได้ และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์เช่นเดียวกัน โดยอาจใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงนักก็สามารถร่วมลงทุนได้แล้ว
ทีนี้เราลองมาดูกันดีกว่าว่าหากจะเริ่มต้นลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จะมีการลงทุนรูปแบบใดบ้างที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
1. ซื้อมาแล้วก็ขายเก็งกำไรไป
โดยอาจเป็นการซื้อใบจองอสังหาฯ แล้วนำมาขายต่อในราคาที่สูงขึ้นกับผู้ที่สนใจซื้อเพื่อเก็งกำไร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้เงินทุนไม่เยอะ และเห็นผลตอบแทนทันทีที่ขาย แต่การลงทุนในลักษณะนี้จะต้องเน้นเลือกทำเลที่ตั้งของตัวอสังหาฯ เอามากๆ กล่าวคือต้องอยู่ในย่านชุมชน อยู่ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน แหล่งเศรษฐกิจการค้า ทางด่วน ฯลฯ จะทำให้ยิ่งสามารถขายออกได้ง่าย เพราะทำเลดีมากจนเป็นที่ต้องการนั่นเอง
การลงทุนรูปแบบนี้จะเหมาะกับคนที่มีความรู้เรื่องมูลค่าและช่วงระยะเวลาในการจองคอนโด ซึ่งจะสามารถทำกำไรได้แตกต่างกันในแต่ละช่วง เช่น ช่วงพรีเซล ช่วงกำลังก่อสร้าง หรือช่วงสร้างเสร็จแล้ว รวมทั้งเรื่องของทำเลที่ตั้ง ซึ่งล้วนส่งผลกับผลตอบแทนทั้งสิ้น
2. ปล่อยเช่าแบบรายวัน
โดยแบบรายวันสามารถเน้นไปทางอสังหาฯ ที่เป็นห้องชุด คอนโด ที่สามารถนำมาตกแต่งแล้วปล่อยเช่าให้นักท่องเที่ยวได้จับจองห้องพักกัน หรืออาคารพาณิชย์และบ้านที่สามารถนำมาดัดแปลงเป็น Hostel ได้ หรือจะเป็นบ้านพักตากอากาศสำหรับ Airbnb ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงทั่วโลก เพราะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่าโรงแรม และสามารถเลือกการตกแต่งบ้านที่ต้องการตรงใจผู้เข้าพัก รวมทั้งราคาแบบที่สบายกระเป๋ากว่าการพักโรงแรม การลงทุนอสังหาฯ ในรูปแบบนี้ต้องเล็งพื้นที่ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวไว้ก่อน เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา เป็นต้น
3. ปล่อยเช่าทั้งแบบรายวัน และแบบรายเดือน
ส่วนแบบรายเดือนนั้นอาจเป็นการลงทุนซื้อคอนโดแล้วนำมาปล่อยเช่า ไม่เพียงแต่คอนโดเท่านั้น แต่ยังสามารถซื้อบ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์ หรือแม้แต่ที่ดินเปล่า เป็นลักษณะการลงทุนที่มีมานาน และสามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ แต่การลงทุนรูปแบบนี้จะเหมาะกับคนที่มีเงินทุนค่อนข้างสูง มีเงินสำรองที่เป็นเงินเย็น ต้องมีความรู้เรื่องการเลือกทำเลแล้ว ยังต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการตั้งราคาเช่าให้เกิดกำไร แต่ก็สมเหตุสมผลพอที่จะดึงดูดใจผู้เช่า รวมทั้งความรู้เรื่องการทำสัญญาเช่า
4. ซื้อหุ้นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับใครหลายคน ที่อยากร่วมลงทุนเป็นเจ้าของและมีโอกาสรับผลตอบแทนจากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำผ่านการซื้อหุ้น แถมเงินทุนที่ใช้ในการลงทุนก็เริ่มต้นที่เพียงหลักร้อยบาทเท่านั้น อย่างไรก็ตามการลงทุนในรูปแบบนี้ย่อมมีความเสี่ยงในยุคที่เศรษฐกิจหดตัว ผู้คนลังเลที่จะสร้างหนี้ระยะยาว สถาบันการเงินปล่อยเงินกู้ยาก ดังนั้นสำหรับใครที่สนใจจะลงทุน ก็อย่าลืมศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน และตัดสินใจกันเอาเองหุ้นอสังหาริมทรัพย์นั้นน่าลงทุนหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งหาข้อมูลว่าควรจะลงทุนกับบริษัทไหนดี
5. ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ผ่านกอง REIT
ในรูปแบบนี้จะเป็นการระดมเงินทุนจากเหล่านักลงทุน เพื่อนำไปเงินที่ได้ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ แล้วนำรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของโครงการอสังหาริมทรัพย์นั้น มาจ่ายเป็นผลตอบแทนกลับคืนให้แก่นักลงทุนผู้ถือหน่วย โดยการลงทุนประเภทนี้จะใช้เงินทุนไม่สูงมาก เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เริ่มที่เพียงหลักพันบาทเท่านั้น ความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น และเหมาะกับนักลงทุนหน้าใหม่
แน่นอนว่ายังมีการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบอื่นๆ อยู่อีกหลากหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดนี้คือการลงทุนเบื้องต้นในอสังหาริมทรัพย์ที่คุณสามารถศึกษาและเริ่มลงทุนได้แบบง่ายๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนเริ่มทำการลงทุนคือ คุณต้องมีความรู้ความเข้าใจในทรัพย์สินที่จะเข้าร่วมลงทุนนั้น ดั่งคำที่เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
.
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านจัดสรร อย่าลืมติดต่อเราเพื่อนัดเข้าเยี่ยมชมโครงการ คอลลิน่า (Collina) ซึ่งมาจากภาษาอิตาลี แปลว่า เนินเขา หากว่าคุณเป็นคนที่ชอบธรรมชาติ วิวภูเขา และสีเขียว เรารับรองได้ว่า ‘คอลลิน่า เพลินจิต’ จะต้องถูกใจคุณแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม
เรื่องของการโอนบ้านหรือที่ดินนั้น เป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณจะต้องทำความเข้าใจก่อนทำการซื้อ-ขายบ้านทุกครั้ง เชื่อว่าหลายๆ คนที่กำลังจะเริ่มต้นซื้อบ้านนั้นอาจจะมีคำถามสงสัยเรื่องของวิธีการโอนบ้านและเอกสารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการโอนทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์จากผู้ขาย และเพราะขั้นตอนการโอนบ้านนั้นค่อนข้างซับซ้อนอยู่พอสมควร จึงควรที่จะศึกษาหาข้อมูลไว้เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
โอนบ้านใช้เอกสารอะไรบ้าง?
โดยปกติแล้วในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ จะต้องมีขั้นตอนตามกฎหมายสำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่สำคัญ โดยเฉพาะการโอนบ้านและโอนที่ดินเพื่อให้เป็นทรัพย์สินของผู้ซื้อ หลังจากผ่านการตกลงเรื่องของราคาทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วยความยินยอมทั้ง 2 ฝ่ายอย่างถูกต้อง เมื่อถึงวันนัดโอนสินทรัพย์ที่กรมที่ดินนั้น ก็จะมีเอกสารที่จำเป็นสำหรับการทำธุรกรรมการโอนบ้าน (หรือการโอนที่ดินเปล่า บ้านพร้อมที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ก็ตามแต่) ดังต่อไปนี้
สำหรับกรณีที่เป็นบุคคลทั่วไป เอกสารที่ต้องใช้ ในการโอนที่ดินและบ้าน มีดังนี้
โฉนดที่ดินฉบับจริง
บัตรประชาชน พร้อมสำเนา 1 ชุด (เซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง)
ทะเบียนบ้าน พร้อมสำเนา 1ชุด (เซ็นชื่อรับรองสำเนาถูกต้อง)
หนังสือมอบอำนาจ (ทด.21) กรณีมอบอำนาจ
หนังสือให้ความยินยอมให้ขายที่ดินหรือที่ดินพร้อมบ้าน (กรณีสมรส)
สำเนาบัตรประชาชนคู่สมรส (กรณีสมรส)
สำเนาทะเบียนบ้านคู่สมรส (กรณีสมรส)
สำเนาทะเบียนสมรส (กรณีสมรส)
สำเนาทะเบียนหย่า (กรณีหย่า)
สำหรับกรณีที่เป็นนิติบุคคล เอกสารที่ต้องใช้ในการโอนที่ดินและบ้าน มีดังนี้
โฉนดที่ดิน หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์
หนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ที่อายุไม่เกิน 1 เดือน
หนังสือบริคณห์สนธิ และวัตถุประสงค์
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น กรณีบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน จำกัด
แบบรับรองรายการจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วน กรณีห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนแล้ว
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลไทยที่ถือหุ้นในบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน จำกัด
บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน และตัวอย่าง ลายมือชื่อของกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนนิติบุคล
รายงานการประชุมนิติบุคคล
ค่าธรรมเนียมโอนที่ดิน
1. ค่าคำขอโอนที่ดิน 5 บาท
2. ค่าอากร 5 บาท
3. ค่าพยาน 20 บาท
4. ค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดิน ซึ่งคิดที่ 2% ของราคาประเมินหรือราคาขาย โดยใช้ราคาสูงสุดในการคำนวณ
ตัวอย่าง
เจ้าหน้าที่กรมที่ดินประเมินราคาที่ดินไว้ที่ 1,000,000 บาท
แต่ราคาขายจริงนั้นอยู่ที่ 1,500,000 บาท
คำนวณค่าโอนที่ดินโดยคิด 2% จากราคาขายจริง 1,500,000 บาท
ดังนั้น ค่าธรรมเนียมในการโอนที่ดินคือ 30,000 บาท
5. ค่าจดจำนอง โดยในส่วนนี้จะมีเฉพาะสำหรับท่านที่กู้เงินจากสถาบันการเงินมาซื้อบ้าน ซึ่งคิดอยู่ที่ 1% ของมูลค่าที่จดจำนอง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ตัวอย่าง
กู้วงเงิน 1,000,000 บาทเพื่อมาซื้อที่ดิน มูลค่าที่จดจำนองคือ 1,000,000 บาท
คำนวณค่าจดจำนองโดยคิด 1% จากมูลค่าที่จดจำนอง 1,000,000 บาท
ดังนั้น ค่าจดจำนองคือ 10,000 บาท
6. ค่าอากรแสตมป์ ซึ่งคิดอยู่ที่ 0.50% ของราคาซื้อขาย แต่ใช้ราคาสูงสุดในการคำนวณ ก็คือกรณีที่ราคาซื้อขายนั้นต่ำกว่าราคาประเมิน จะใช้ราคาประเมินในการคำนวณแทน แต่ถ้าเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์
ตัวอย่าง
เจ้าหน้าที่กรมที่ดินประเมินราคาที่ดิน 1,500,000 บาท
แต่ราคาขายจริงอยู่ที่ 1,000,000 บาท
คำนวณค่าอากรแสตมป์เป็น 0.50% ของราคาประเมินที่ดิน 1,500,000 บาท
ดังนั้น ค่าอากรแสตมป์ในการโอนที่ดินครั้งนี้คือ 7,500 บาท
7. ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งคิดที่ 3.3% ของราคาซื้อขาย แต่ใช้ราคาสูงสุดในการคำนวณ ก็คือกรณีที่ราคาซื้อขายนั้นต่ำกว่าราคาประเมิน จะใช้ราคาประเมินในการคำนวณแทน
ตัวอย่าง
เจ้าหน้าที่กรมที่ดินประเมินราคาที่ดิน 1,500,000 บาท
แต่ราคาขายจริงอยู่ที่ 1,000,000 บาท
คำนวณค่าภาษีธุรกิจเฉพาะเป็น 3.3% ของราคาประเมินที่ดิน 1,500,000 บาท
ดังนั้น ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะในการโอนที่ดินครั้งนี้คือ 49,500 บาท
โดยตามธรรมเนียมแล้วนั้น ค่าใช้จ่ายในการโอนที่ดิน ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์ ผู้ซื้อกับผู้ขายมักจะช่วยกันออกคนละครึ่ง หรืออาจจะเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย มีโครงการบ้านจัดสรรไม่น้อยที่มักนำจุดนี้มาเป็นจุดดึงดูดว่าทางโครงการจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการโอนทั้งหมด ซึ่งในส่วนนี้ก็นับว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้ นอกจากการโอนบ้านที่กรมที่ดินแล้ว เพื่อให้เสร็จสิ้นขั้นตอนแบบสมบูรณ์จริงๆ ต้องอย่าลืม
โอนมิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟฟ้า
ชำระค่าเงินประกันการใช้มิเตอร์น้ำและมิเตอร์ไฟฟ้า
ชำระค่าส่วนกลาง (คอนโดหรือบ้านจัดสรร)
ย้ายชื่อตนเองและคนที่ครอบครัวเข้าทะเบียนบ้าน
สรุป
สำหรับคนที่สงสัยว่า “โอนที่ดินต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?” ก็ได้คำตอบกันไปแล้วในโพสนี้ ในทุกขั้นตอนของการทำธุรกรรมรับโอนทรัพย์สิน และเอกสารสำคัญทั้งหมดดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีความจำเป็นและต้องศึกษาให้ละเอียดถี่ถ้วน
เพื่อความมั่นใจ สามารถขอคำปรึกษาทางโครงการบ้านจัดสรรที่ต้องการทำการซื้อขายและโอนบ้าน-ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ เพราะบางครั้งอาจจะต้องมีการเตรียมเอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากเอกสารหลักๆ ดังที่กล่าวมา และเพื่อความแม่นยำท่านสามารถปรึกษาเพิ่มเติมกับทางกรมที่ดินในเรื่องของเอกสารสำหรับการโอนที่ดินได้อีกครั้งหนึ่ง
.
สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านจัดสรร อย่าลืมติดต่อเราเพื่อนัดเข้าเยี่ยมชมโครงการ คอลลิน่า (Collina) ซึ่งมาจากภาษาอิตาลี แปลว่า เนินเขา หากว่าคุณเป็นคนที่ชอบธรรมชาติ วิวภูเขา และสีเขียว เรารับรองได้ว่า ‘คอลลิน่า เพลินจิต’ จะต้องถูกใจคุณแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม